การป้องกัน-กำจัดหนู
การจัดการหนู (rodent management)
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าหนูเป็นสัตว์ที่ฉลาด สามารถหลบเลี่ยง หรือหลบหลีกวิธีการปฏิบัติของมนุษย์ที่ใช้ควบคุมและลดปริมาณหนูได้ การป้องกันและ กำจัดหนู จึงต้องใช้วิธีการหลาย ๆ วิธีไปพร้อมกันจึงจะประสบความสำเร็จ ดังนั้น หลักการจัดการหนูแบบบูรณาการ (integrated rodent pest management)จึงควรนำมาใช้เป็นยุทธวิธีในการป้องกัน ควบคุม และกำจัดหนู ซึ่งถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าวิธีอื่นใดโดยมีขั้นตอน ดังนี้
- การสำรวจปริมาณหนูจากร่องรอยของหนูและประเมินปัญหาหนูในพื้นที่ ตลอดจนการทำ
แผนที่สภาพพื้นที่ต้องการควบคุมหนู ตำแหน่งที่วางภาชนะใส่เหยื่อพิษ และวางแผนการปฏิบัติงาน
โดย
1.1 สำรวจร่องรอยของหนู
มีความสำคัญและจำเป็นยิ่งต่อการป้องกันและกำจัดหนู เพราะช่วยให้ทราบว่ามีหนูอยู่บริเวณนั้นหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด ร่องรอยหนูที่สามารถสังเกตได้ มีดังนี้
รอยกัดแทะ
เนื่องจากหนูมีนิสัยชอบกัดแทะเพื่อกินอาหารและลับฟันหากเราพบรอยกัดแทะใหม่ ๆของอาหาร หรือสิ่งของต่าง ๆ สามารถยืนยันได้ว่า ณ ที่นั้นมีหนูอยู่ และอาจจำแนกชนิดของหนูที่มีอยู่ได้ว่าเป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่จากขนาดของร่องรอยกัดแทะนั้น
โพรง หรือรูหนู
หนูนอรเวชอบอาศัยในที่ที่มีลักษณะเปียก ชื้น เรียบมัน อาจขุดรูเป็นโพรงลงในดิน และมักมีขุยดินมากมายกองหน้าปากรูทางเข้า หรืออาจอาศัยบริเวณที่พักและน้ำท่วมไม่ถึงภายในท่อระบายน้ำสำหรับรูของหนูท้องขาวบ้านมักไม่พบขุยดิน
รอยทางเดิน และรอยตีนหนู
หนูใช้เส้นทางเดิมเวลาออกหากินเสมอ ถ้าพบหนูอาศัยภายนอกอาคารหรือโรงเรือน จะเห็นทางเดินเล็ก ๆ บนผิวดินบริเวณใกล้กำแพงเป็นทางราบเรียบ ระหว่างต้นวัชพืช หรือลอดใต้กองฟางหรือรอบต้นไม้ที่หนูชอบปีนป่ายไปหาอาหารหรือพักอาศัย หรือตามฝาผนัง กำแพงภายในอาคาร มักพบรอยคราบสกปรกดำ อันเนื่องจากไขมันจากขนบริเวณท้องและปัสสาวะ นอกจากนี้ ยังพบรอยตีนหนูมูลหนู และขนของหนูด้วยเช่นกัน หากทางนั้นใช้เป็นเวลานาน ๆ จะมองเห็นทางได้ชัดเจน
มูลหนู และปัสสาวะหนู
มูลของหนูใหม่ ๆ จะเปียก นุ่มเหนียว เป็นมัน เวลากดเปลี่ยนรูปได้ง่าย มักพบบริเวณที่กินอาหาร และบริเวณทำกิจกรรมต่าง ๆ ขนาดของมูลหนูอาจจำแนกชนิดของหนูเบื้องต้นได้ เช่น มูลของหนูนอรเว รูปที่ 4.7.4 (ก) มีขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายแคปซูลยา หัวท้ายมน ยาว 12-15 มิลลิเมตร สีดำมันส่วนมูลของหนูท้องขาวบ้าน (ข) มีขนาดเล็ก และแห้งกว่า รูปร่างคล้ายกระสวย ยาว 10-12 มิลลิเมตรนอกจากนี้ บริเวณที่พบมูลหนู มักพบรอยเปียกจากปัสสาวะหนูในบริเวณที่หนูกินอาหารด้วย เช่น คราบ
หรือปัสสาวะหนูบนกระสอบอาหาร เป็นต้น
ลักษณะอื่น ๆ
สามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้การมีอยู่ของหนูในบริเวณนั้นได้ด้วย เช่น เสียงร้อง เสียงวิ่ง กลิ่นสาบซากหนู เป็นต้น สำหรับการพบเห็นหนูในเวลากลางวัน 1 ตัว ก็อาจประมาณได้ว่า ณ บริเวณนั้นมีหนูประมาณ 25 ตัว
- การป้องกันและกำจัดหนูโดยวิธีการต่าง ๆ
2.1 โดยวิธีการสุขวิทยาและสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม (sanitation and environmentalmanagement)
2.1.1 การปรับปรุงสภาพแวดล้อมตามแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และฟาร์มเลี้ยงสัตว์
โดยใช้หลักการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่เน้นการรักษาความสะอาดบ้านเรือนแหล่งชุมชน ฯลฯ การเก็บ
ขยะมูลฝอยที่มิดชิด และการกำจัดขยะที่ถูกต้องเพื่อลดปัจจัยพื้นฐานที่หนูต้องการในการดำรงชีวิต เช่น
อาหาร น้ำ และที่อยู่อาศัย เป็นต้น จะช่วยลดปริมาณหนู รวมถึงการแพร่เชื้อโรคสู่สัตว์เลี้ยงและมนุษย์ลงได้
สำหรับในโรงเรือนที่เก็บผลผลิตการเกษตร อาหาร และสินค้าอุปโภคชนิดต่าง ๆ ควรมีการจัดเก็บวางสินค้า
เหล่านี้บนชั้นวางของอย่างเป็นระเบียบ หรือวางกระสอบผลผลิตทางการเกษตรบนชั้นไม้ หรือชั้นพลาสติก
(palette) และอยู่สูงจากพื้นซีเมนต์ประมาณ 30 เซนติเมตร และวางห่างจากฝาผนังห้องประมาณ 0.5-1
เมตร
2.1.2 การจัดการแหล่งที่อยู่อาศัยของหนู
• มีที่จัดเก็บอาหาร สินค้า สิ่งของ และวัสดุต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบและถูกต้อง
ตามหลักสุขอนามัยที่ดี การจัดระเบียบและทำความสะอาดภายในอาคารอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยในการ
ลดที่อยู่อาศัยของหนูได้
• ทำลายรูหนู หรือที่อยู่อาศัยของหนูภายนอกอาคาร ตลอดจนการตัดหญ้า และ
ตัดแต่งต้นไม้ที่หนาทึบ ทั้งบริเวณในและรอบบ้าน จะช่วยลดที่หลบซ่อนตัวของหนูลงได้
• บริเวณรอบ ๆ ตัวอาคาร ต้องดูโล่งและเข้าถึงได้ทุกจุด ไม่มีบริเวณที่เป็นมุมอับ
ที่หนูจะเข้ามาหลบซ่อนได้เช่นกัน
2.1.3 การป้องกันไม่ให้หนูเข้าตัวอาคารหรือโรงเรือน
• ก่อนการสร้างอาคารหรือโรงเรือนใหม่ทุกครั้ง ต้องมีการออกแบบตัวอาคารที่
สามารถป้องกันไม่ให้หนูเข้ามาภายในได้
• สำหรับอาคารเก่าที่ไม่มีการวางแผนป้องกันการเข้ามาของหนู ต้องทำการปิดทาง
เข้าทุกทางที่หนูสามารถเข้าไปในตัวอาคารได้ เช่น ใช้กรวยสังกะสีหรือแผ่นอลูมิเนียมเรียบ ครอบเสาโรงเรือน
และยุ้งฉาง ใช้แผ่นสแตนเลสหรือลวดตาข่ายปิดทางเข้าของหนูสู่ตัวอาคาร นอกจากนั้น การใช้แผ่นสังกะสีตี
ปิดตามประตูทางเข้ายุ้งฉาง โรงเก็บ หรือทางเข้าอาคาร สูง 60 เซนติเมตร จะสามารถป้องกันมิให้หนู
แทะประตูผ่านเข้ามาได้
2.2 โดยวิธีกล (mechanical control)
• ใช้กรงดัก
• ใช้กับดักแบบต่าง ๆ
• ใช้กาวดัก
• ใช้รั้วพลาสติก เป็นต้น
2.3 โดยวิธีกายภาพ (physical control)
• ใช้เครื่องกำเนิดเสียงอัลตราซาวด์ หรือคลื่นเสียงแบบอื่น ๆ ไล่หนูออกจากบริเวณที่ต้องการ
ควบคุม
• ใช้รั้วไฟฟ้า
• ใช้น้ำ กักให้ท่วมบริเวณที่ต้องการควบคุมเป็นการชั่วคราว
2.4 โดยชีววิธี (biological control)
เป็นการใช้ศัตรูธรรมชาติของหนูที่มีศักยภาพสูง เพื่อควบคุมประชากรหนูในระดับหนึ่ง
ได้แก่ การใช้สัตว์ผู้ล่าหนูเป็นอาหาร เช่น นกแสก งู พังพอน เป็นต้น และการใช้ปรสิต (parasite) หรือ
เชื้อโรคที่พบในหนูกำจัดหนู เช่น เหยื่อโปรโตซัวกำจัดหนูสำเร็จรูป (Sarcocystis singaporensis) (ภาค
ผนวก 1) เป็นต้น การป้องกันและกำจัดหนูวิธีนี้เหมาะในรักษาความสมดุลของประชากรหนูไม่ให้สูงมากนัก
และถ้าใช้ร่วมกับวิธีการป้องกันกำจัดหนูวิธีอื่น ๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมหนูได้ดียิ่งขึ้น และ
เป็นเวลานานขึ้น
2.5 โดยวิธีกำจัดหนูด้วยสารเคมี (chemical control)
2.5.1 เป็นการลดจำนวนหนูโดยใช้สารเคมีสังเคราะห์ หรือสารสกัดจากพืช ได้แก่
(1) การใช้สารรม (fumigants)
วิธีการนี้เหมาะที่ใช้กำจัดหนูในบริเวณที่มีที่ปิดมิดชิด เช่น ยุ้งฉาง โกดังเก็บ
สินค้าและของเหลือใช้ ที่เก็บของในเรือบรรจุสินค้า สารรมที่ใช้รมหนู ได้แก่ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulphur
dioxide) เมทิลโบรไมด์ (methyl bromide) อลูมิเนียมฟอสไฟด์ (aluminium phosphide) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ขอแนะนำวิธีดังกล่าวนี้หากเป็นการใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข
(2) การใช้สารเคมีกำจัดหนู (rodenticides)
ถ้าแบ่งตามระยะเวลาการออกฤทธิ์ในการกำจัดหนู มี 2 ประเภท คือ
ก. สารกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์เร็ว (acute poisoned rodenticides หรือ
single dose rodenticides)
เป็นสารที่ออกฤทธิ์เฉียบพลันทันที เมื่อหนูได้รับสารนี้เข้าไปเพียงครั้งเดียว
(single dose) หรือช่วงระยะเวลาสั้น สารดังกล่าวนี้ออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาททำให้หนูเป็นอัมพาต
และตายในที่สุด นอกจากนั้น ยังไปทำลายตับ ไต ระบบหัวใจ ทำให้หัวใจล้มเหลวหรืออัมพาต หนูจะตาย
ภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง ถึง 1 วัน สารประเภทนี้มักใช้ในอัตราความเข้มข้นที่สูง เช่น ซิงค์ฟอสไฟด์
(zinc phosphide) 0.8-1% เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศ
เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 คือ ห้ามมิให้มีการผลิต นำเข้า
ส่งออก หรือมีไว้ครอบครอง
ข. สารกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์ช้า (chronic poisoned rodenticides,
slow acting posioned rodenticides, multiple dose rodenticides หรือ anticoagulant
rodenticides)
เป็นสารกำจัดหนู ที่หนูต้องกินติดต่อกันช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือกินครั้งเดียว
และสะสมพิษในร่างกายถึงปริมาณเพียงพอที่จะออกฤทธิ์ทำให้หนูตาย โดยเกิดอาการเลือดไม่แข็งตัว
(anticoagulant) ทำให้เลือดไหลออกทางหลอดเลือดฝอย และช่องเปิดของร่างกาย ตามบาดแผล ทำให้
มีเลือดคั่งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และหนูตายในที่สุดภายในระยะเวลา 3–15 วัน เป็นเหยื่อพิษ
สำเร็จรูปที่มีอัตราความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ ตั้งแต่ 0.005-0.1% แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ
กลุ่มที่ 1 ได้แก่ วอร์ฟาริน (warfarin) ซึ่งผลิตขึ้นเป็นชนิดแรก เพื่อใช้
ทดแทนสารกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์เร็ว และสามารถแก้ปัญหาการเข็ดขยาดต่อเหยื่อพิษ (bait shyness)
เพราะหนูไม่แสดงอาการป่วยกะทันหัน ความเป็นพิษที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกันกับสารกำจัดหนูออกฤทธิ์เร็ว
หนูต้องกินเหยื่อพิษกลุ่มนี้หลายวันเพื่อสะสมพิษให้ถึงปริมาณที่ทำให้หนูตาย ซึ่งทำให้เกิดผลเสียที่ติดตาม
มาในภายหลัง คือ ในปี ค.ศ. 1958 มีรายงานความต้านทานของหนูหริ่งบ้าน (Mus musculus) และ
หนูนอรเว (Rattus norvegicus) ต่อสารกำจัดหนู warfarin ในหลายประเทศในทวีปยุโรป ทั้งใน
ประเทศสก๊อตแลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส เดนมาร์ค และสหรัฐอเมริกา ทำให้การกำจัดหนูด้วย warfarin
ไม่ประสบสำเร็จมากนัก ดังนั้น จึงได้มีการวิจัยพัฒนาและผลิตสารกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์ช้ากลุ่มนี้อีก
หลายชนิด เช่น ฟูมาริน (fumarin) คูมาคลอร์ (coumachlor) คูมาเตตระลิล (coumatetralyl) โดย
เฉพาะสาร coumatetralyl มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันแต่มีพิษต่อหนูมากกว่า จึงถูกนำมาใช้กำจัดหนูที่
ต้านทานต่อ warfarin และยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน
กลุ่มที่ 2 เป็นสารกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์ช้าที่มีการพัฒนาและผลิตขึ้น
มาใช้กับหนูและสัตว์ฟันแทะที่ต้านทานต่อ warfarin สารกลุ่มนี้มีความเป็นพิษสูงกว่าสารกำจัดหนูกลุ่ม
ออกฤทธิ์ช้าในกลุ่มแรก สามารถเอาชนะปัญหาความต้านทานของหนูและสัตว์ฟันแทะได้ เช่น ไดฟีนาคูม
(difenacoum) โบรดิฟาคูม (brodifacoum) โบรมาไดโอโลน (bromadiolone) โฟลคูมาเฟน
(flocoumafen) ไดฟีไทรอะโลน (difethialone) ทั้ง 5 ชนิดนี้ เป็นสารที่มีความเป็นพิษคล้ายคลึงกับ
สารกำจัดหนูประเภทออกฤทธิ์ช้าอื่น ๆ แต่เป็นสารกำจัดหนูที่กินเพียงครั้งเดียวก็ถึงตาย (single dose
rodenticides หรือ one feed kill) และยังมีความเป็นพิษสูงต่อสัตว์ที่ล่าหนูเป็นอาหารโดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งต่อนกนักล่า
2.5.2 การขับไล่หนูออกจากพื้นที่หรือไม่ให้กัดทำลายสิ่งของ ได้แก่
การใช้สารไล่หนู (repellent) เพื่อป้องกันการทำลายสิ่งของ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่เก็บไว้ หรือผลิตผลที่เก็บไว้ หรือป้องกันการปนเปื้อนจากหนู หรือป้องกันหนูเข้ากัดแทะเมล็ดพืชที่ปลูก เช่น การใช้ เอนดริน (endrin) ทั้งนี้ สารดังกล่าวนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
นอกจากนั้น ยังมีสารไล่หนูที่ผู้ผลิตสายไฟฟ้านิยมใช้กับสายไฟที่เก็บไว้ในโกดังเพื่อป้องกันการกัดแทะของหนูชั่วคราว ได้แก่ R-55 หรือ terbutyldimethyl trithio-peroxycarbonate และ bio met 12 หรือ tri-n-butyltinchloride